วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ผลงานลูกค้า
เปิดสอบ ราชการ งานราชการ หางาน สอบราชการ พนักงานราชการ สอบบรรจุ หางาน รับสมัครงาน สอบ กพ. อบต. สอบภาค ก สอบภาค ข รับสมัครงาน ศูนย์รวมงานราชการ
ศูนย์หนังสือสอบ sheetchula เป็นที่รวบรวมแนวข้อสอบรับราชการ ทุกหน่วยงาน และนี่คือผลงาน ความคิดเห็นของลูกค้าที่ซื้อข้อสอบจากเราไป บางส่วน
ศูนย์หนังสือสอบ sheetchula เป็นที่รวบรวมแนวข้อสอบรับราชการ ทุกหน่วยงาน และนี่คือผลงาน ความคิดเห็นของลูกค้าที่ซื้อข้อสอบจากเราไป บางส่วน
บริการต่างๅ
บริการต่างๆ
บริการต่างๆ
Youtube
แนวข้อสอบศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์
รายละเอียดวิชาที่สอบ #แนวข้อสอบศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์
1 ความรู้เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ
2 แนวข้อสอบความรู้ความสามารถทั่วไป
3 แนวข้อสอบความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน การเมือง เศรษฐกิจและสังคม
4 การถ่ายภาพ การถ่ายวีดีทัศน์ เครื่องมือ อุปกรณ์สมัยใหม่
5 การผลิตสื่อวีดิทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์
6 ความรู้เกี่ยวกับหลักการถ่ายภาพ
7 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์
8 ความหมายและความสำคัญของสื่อสิ่งพิมพ์
9 แนวข้อสอบความเข้าใจในการถ่ายภาพเบื้องต้น
10 การเตรียมตัวสอบภาค ค. และสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานศาลรัฐธรรมนูญ
+++ อ่านประกาศเพิ่มเติม และลิ้งค์สมัครที่ http://www.งานราชการไทย.com/
+++ กดติดตามรับข้อสอบที่ : http://line.me/ti/p/%40awr8388d
+++ กดถูกใจเพื่อรับแนวข้อสอบศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์
ที่ https://www.facebook.com/1767050083579924
ความรู้ทั่วไป
ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)
ศาลรัฐธรรมนูญ (ย่อ: ศร.) เป็นองค์กรตุลาการที่จัดตั้งขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 แทนคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ยุบเลิกไป และมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาอรรถคดีทั่วไป
องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ[แก้]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรวม 15 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากบุคคลต่อไปนี้
- ผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน 5 คน
- ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดโดยวิธีการลงคะแนนลับ จำนวน 2 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ซึ่งได้รับเลือกจากวุฒิสภา โดยการสรรหาและจัดทำบัญชีรายชื่อของคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 5 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ ซึ่งได้รับเลือกจากวุฒิสภา โดยการสรรหาและจัดทำบัญชีรายชื่อของคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 3 คน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งกับและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 8 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากบุคคลต่อไปนี้
- ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาโดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน 3 คน
- ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดโดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน 2 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านนิติศาสตร์อย่างแท้จริงและได้รับเลือกตามมาตรา 206 ของรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์อื่น ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารราชการแผ่นดินอย่างแท้จริงและได้รับเลือกตามมาตรา 206 ของรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 คน
อำนาจหน้าที่ที่สำคัญของศาลรัฐธรรมนูญ คือ การพิจารณาวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ของวุฒิสภา หรือของรัฐสภา ที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณี ให้ความเห็นชอบแล้ว แต่ยังมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือพิจารณาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญโดยที่ศาลเห็นเอง หรือคู่ความโต้แย้ง และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ตลอดจนพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
การพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญเป็นระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ซึ่งแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไปของศาลยุติธรรม
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีที่ตั้งอยู่ที่ อาคารบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ เลขที่ 326 ถนนจักรเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนครกรุงเทพมหานคร แต่ปัจจุบันได้ย้ายไปที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวา 2550 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร[2]ใกล้กับที่ทำการกองบัญชาการกองทัพไทย
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ตลก.)[แก้]
คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549[แก้]
ดูเพิ่มเติมที่: คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุด พ.ศ. 2549 ได้สิ้นสภาพไปพร้อมกับศาลรัฐธรรมนูญ ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 และได้บัญญัติขึ้นตามมาตรา 35 ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 ให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่แทน
คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550[แก้]
ดูเพิ่มเติมที่: คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
คำวินิจฉัย[แก้]
ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก |
ส่วนนี้ของบทความอาจต้องปรับปรุงให้มีมุมมองที่เป็นกลาง เนื่องจากนำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียว ดูหน้าอภิปรายประกอบ โปรดอย่านำป้ายออกจนกว่าจะมีข้อสรุป |
ตั้งแต่มีการออกคำสั่งของคณะรัฐประหารฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2549 หลังการรัฐประหาร 1 วัน ซึ่งส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญที่มีมาแต่เดิมสิ้นสภาพและศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ก็ได้ขึ้นปฏิบัติการจากกระบวนการคัดสรรตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร ซึ่งการดำเนินการพิจารณาคดีต่างๆที่เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากว่าขัดต่อหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญอยู่เสมอ และขยายขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญออกไปเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด รวมถึงการก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายบริการและฝ่ายนิติบัญญัติ
พ.ศ. 2550
ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย จากการจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง และเพิกถอนสิทธิลงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 5 ปี โดยในภายหลัง นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น กล่าวถึงการวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค ณ ขณะนั้นเป็นไปเพื่อรักษาความสงบของบ้านเมือง ซึ่งไม่ได้วินิจฉัยคดีโดยวางอยู่บนพื้นฐานนิติรัฐ นิติธรรม
ตัดสินให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิดในทุกข้อกล่าวหาในกรณีจ้างพรรคเล็กใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งในภายหลังนายสุขสันต์ ไชยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย ซึ่งเป็นพยานปากเอกคดียุบพรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สัญญาว่าจะให้เงินพยานพรรคเล็กคนละ 15 ล้านบาทและช่วยเรื่องคดีแลกกับการที่ให้พยานเหล่านี้ให้การว่าไปพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยาเพื่อรับการว่าจ้างให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยที่ความจริงแล้วมิได้มีเหตุการณ์ดังกล่าว โดยในระหว่างการดำเนินคดี นายสุเทพ เทือกสุบรรณได้นำพยานเหล่านี้ไปเก็บตัวในเซฟเฮาส์ทางภาคใต้ และสุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยเหลือเรื่องคดีกับพยานพรรคเล็กเหล่านี้ดังที่สัญญาไว้แต่อย่างใด
พ.ศ. 2551
วินิจฉัยให้นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากจัดรายการชิมอาหาร ซึ่งในภายหลังนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ได้ยอมรับว่าการวินิจฉัยถอด นายสมัคร สุนทรเวช ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั้นผิดพลาด ด้วยการนำข้อกฎหมายมาวางก่อน แล้วค่อยนำข้อเท็จจริงมาพิจารณา
ตัดสินให้ยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌมาธิปไตย และเพิกถอนสิทธิลงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 5 ปี
ดูเพิ่มเติมที่: คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551
พ.ศ. 2553
ยกคำร้อง กรณีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ด้วยมติสี่ต่อสองว่า กฎหมายกำหนดให้ผู้ร้องยื่นคำร้องมาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ปรากฏแก่ตนว่าผู้ถูกร้องฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นเหตุให้ถูกยุบได้ มว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องมาล่วงระยะเวลาสิบห้าวันดังกล่าวนี้ จึงไม่ชอบที่จะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องสืบไป และให้ยกคำร้อง
ดูเพิ่มเติมที่: คดีระหว่างนายทะเบียนพรรคการเมือง กับพรรคประชาธิปัตย์ (2553)
ยกคำร้อง กรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคจำนวน 258 ล้านบาท จากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2548 โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า เนื่องจากกระบวนการยื่นขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ชอบที่จะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องสืบไป และให้ยกคำร้อง
พ.ศ. 2556
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาและคุณสมบัติของ ส.ว.เป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 68 โดยจากกรณีนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากต่อส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่กล่าวว่า
ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแม้จะให้ถือเอามติฝ่ายเสียงข้างมากเป็น เกณฑ์ก็ตาม แต่หากละเลยหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจกดขี่ข่มเหงฝ่ายเสียงข้างน้อยโดยไม่ฟังเหตุผลและขาดหลักประกันจนทำให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืนตามสมควรแล้วไซร้ จะถือว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร หากแต่ก็จะกลับกลายเป็นระบอบเผด็จการฝ่ายข้างมาก ขัดแย้งต่อระบอบการปกครองของประเทศไปอย่างชัดแจ้ง
ซึ่งในตอนท้ายของคำวินิจฉัย ก็มีเป็นการลงมติโดยเสียงข้างมากขององค์คณะตุลาการในการตัดสินเรื่องนี้
อาศัยเหตุดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นจึงวินิจฉัยโดยมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ว่าการดำเนินการพิจารณาและลงมติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้องทั้งหมดในคดีนี้เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 มาตรา 125 วรรค 1 และวรรค 2 มาตรา 126 วรรค 3 มาตรา 291 และมาตรา 3 และวินิจฉัยด้วยมติเสียงข้างมากว่า 5 ต่อ 4 ว่า มีเนื้อความที่เป็นสาระสำคัญขัดแย้งต่อหลักการพื้นฐานและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 อันเป็นการกระทำเพื่อให้ผู้ถูกร้องได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 1
รายนามประธานศาลรัฐธรรมนูญ[แก้]
- นายเชาวน์ สายเชื้อ (11 เมษายน พ.ศ. 2541[3] - 23 กันยายน พ.ศ. 2542)
- นายประเสริฐ นาสกุล (12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 [4] - 7 กันยายน พ.ศ. 2544)
- นายอิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ (14 มีนาคม พ.ศ. 2545[5] - 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545)
- นายกระมล ทองธรรมชาติ (28 มีนาคม พ.ศ. 2546[6] - 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2548)
- นายอุระ หวังอ้อมกลาง (3 สิงหาคม พ.ศ. 2549[7] - 19 กันยายน พ.ศ. 2549)
- นายชัช ชลวร (28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 [8] - 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554 (ลาออก)[9])
- นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ (26 ตุลาคม พ.ศ. 2554 - 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556 (ลาออก)[10]
- นายจรูญ อินทจาร ( 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 [11] )
- นายนุรักษ์ มาประณีต ( 11 กันยายน พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน)
บุคคลผู้เคยดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ[แก้]
- นาย ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
- นายอุระ หวังอ้อมกลาง (ศาลฎีกา) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
- นายผัน จันทรปาน (ศาลปกครองสูงสุด)
- นายจิระ บุญพจนสุนทร (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์)
- นายจุมพล ณ สงขลา (ศาลฎีกา)
- นายนพดล เฮงเจริญ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์)
- นายปรีชา เฉลิมวณิชย์ (ศาลฎีกา)
- นายมงคล สระฏัน (ศาลฎีกา)
- นายมานิต วิทยาเต็ม (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์
- นายศักดิ์ เตชาชาญ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์)
- พล.ต.อ สุวรรณ สุวรรณเวโช (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์)
- นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ (ศาลฎีกา)
- นายสุธี สุทธิสมบูรณ์ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์)
- ศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ อัศวโรจน์ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์)
- นายอภัย จันทนจุลกะ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์)
- นายเชาวน์ สายเชื้อ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- ศาสตราจารย์ ดร.โกเมน ภัทรภิรมย์ (ลาออก)
- พลโทจุล อติเรก (ครบวาระ)
- ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช (ลาออก)
- นายประเสริฐ นาสกุล ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- นายสุจินดา ยงสุนทร (ลาออก)
- นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ (พ้นจากตำแหน่ง)
- ศาสตราจารย์อนันต์ เกตุวงศ์ (ครบวาระ)
- ศาสตราจารย์ ดร. อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- ศาสตราจารย์ ดร. กระมล ทองธรรมชาติ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุจิต บุญบงการ (พ้นจากตำแหน่ง)
- ศาสตราจารย์ ดร.อมร รักษาสัตย์ (พ้นจากตำแหน่ง)
- นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (ลาออก)
- นายจรูญ อินทจาร (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- นายเฉลิมพล เอกอุรุ(พ้นจากตำแหน่ง)
- นายสุพจน์ ไข่มุกด์ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์)
แนะนำการสอบ
คำแนะนำในการสอบศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์
ในการสอบเข้ากรม ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ การสอบบรรจุเข้ารับราชการผู้เข้าสอบจะต้องเป็นผู้สอบผ่านการวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก.) ของสำนักงาน ก.พ. ก่อน แต่ถ้าสอบเป็นลูกจ้าง/พนักงานราชการ ไม่ต้องใช้ใบสอบผ่านภาค ก ของ ก.พ. การสอบเข้าศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ จะมีการประเมินสมรรถนะอยู่ 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 โดยการสอบข้อเขียน ครั้งที่ 2 โดยการสัมภาษณ์ และจะต้องผ่านการประเมินสมรรถนะครั้งที่ 1 โดยวิธีการสอบข้อเขียนก่อนและเมื่อผ่านการประเมินสรรถนะครั้งที่ 1 แล้ว จึงจะมีสิทธิ์เข้ารับการประเมินสมรรถนะครั้งที่ 2 โดยวิธีสอบสัมภาษณ์ ทั้งนี้จะต้องได้คะแนนสอบข้อเขียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
การเตรียมตัวสอบ
ในส่วนการสอบวิชาเฉพาะตำแหน่ง ควรอ่านให้มากๆ ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาตำแหน่งให้ดี ข้อสอบจะเป็นระเบียบข้อกฏหมาย วิชากฎหมายก็อ่านฉบับเต็ม ท่องให้ได้ทุกมาตราอย่าไปอ่านเเต่ช้อย มันไม่ตรงนัก ฝึกลองวิเคราะห์ข้อสอบ หาปากกาเน้นข้อความมาขีดเพื่อจำง่าย แล้วสรุป หรือท่องให้ได้ ฝึกทำข้อสอบเก่า โดยเฉพาะในเรื่องที่เป็นจุดบกพร่องของเราทำซ้ำๆจนเข้าใจ
ควรอ่านเนื้อหาที่จะออกสอบในประกาศ และดูเวลาว่าเหลือเวลากี่วันที่จะต้องสอบ และนำเนื้อหาการสอบมาทำความเข้าใจว่าแต่ละเรื่องเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ค้นหาเนื้อหาแต่ละเนื้อหารวบรวมทุกสิ่งอย่างที่คิดว่าเกี่ยวข้องและจำเป็น แล้วแยกใส่ในแฟ้มงานเป็นหมวดๆ เมื่อได้เนื้อหาครบหมดแล้ววิเคราะห์ว่าแต่ละเนื้อหาใช้เวลาในการอ่านเท่าไหร่ แล้วนำผลรวมออกมาเทียบกับเวลาที่เรามีในการเตรียมตัวสอบ จากนั้นนำเวลามาถัวเฉลี่ย ให้ความหนักเบากับวิชาที่จะสอบ ว่าวิชาไหนเรื่องไหนใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วจัดทำตารางการอ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาอาจจะแบ่งเป็นต่อสัปดาห์ หรือ 2 สัปดาห์ แล้วนำมาแปะไว้ที่ไหนก็ได้ที่เราสังเกตเห็นได้ชัด ในการอ่านแต่ละวิชาควรอ่านอย่างน้อย 2 รอบ รอบแรกเป็นการอ่านรวมๆ เพื่อหาว่าจุดไหนสำคัญบ้างให้นำปากกาเน้นคำ Mark ไว้ รอบที่สอง จดบันทึกสิ่งที่เรา Mark ไว้ สรุปเป็นภาษาของเราเองเพื่อเอาไว้อ่านก่อนสอบ 1 วัน และก่อนนอนนั่งสมาธิอย่างน้อย 5 นาที สวดมนต์ด้วยก็ยิ่งดี นอกจากนี้ควรศึกษาเส้นทางการสอบ ห้องสอบให้ดี พอถึงสนามสอบให้ตรวจดูห้องสอบหรือนั่งหน้าห้องสอบรอเลยก็ได้ เพื่อป้องกันความกังวลใจ หรือเรื่องรบกวนใจ เมื่อใกล้จะสอบควรงดการพูดจาเรื่อยเปื่อย คุยสนุกเรื่องอื่น กับเพื่อนที่ร่วมสอบ หรือใครก็ตามอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันสมองไปจำอย่างอื่น ให้คิดแต่เรื่องสอบอย่างเดียว
นอกจากนี้ควรหาความรู้เกี่ยวกับหน่วยงานด้วย เช่น ประวัติ วิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยม ผู้บริหาร หน้าที่ความรับผิดชอบ โดยการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
นอกจากวิชาการที่ต้องใช้ตามวุฒิที่จะรับแล้ว ยังต้องทำการบ้านด้วยว่าหน่วยงานนั้นมีการแบ่งองค์กรยังไง ผู้บริหารเป็นใครในแต่ละระดับ แต่ละส่วนขององค์กรทำงานอะไร มีหน้าที่อะไร ตำแหน่งที่เราจะบรรจุมีหน้าที่อะไร ไปที่หน่วยงานนั้น ถ้ามีห้องสมุดหรือเอกสารเผยแพร่ควรไปอ่านให้หมด ปัจจุบันมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหรือตำแหน่งที่จะทำหรือไม่ อย่างไร
ส่วนในการสอบสัมภาษณ์เป็นการสอบด้วยการสนทนาหรือพูดคุยกัน ดังนั้นผู้เข้าสอบควรจะทบทวนเตรียมความรู้หรือข้อมูลในส่วนที่เป็นวิชาการหรือเนื้อหาต่าง ๆ ที่ได้เตรียมไว้แล้วในการเตรียมตัวเข้าสอบข้อเขียน ซึ่งอาจจะใช้เวลาครั้งละ 10 – 30 นาที แล้วแต่กรณี หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การเตรียมตัวเข้ารับการสอบสัมภาษณ์จำเป็นต้องทบทวนความรู้ และข้อมูลบางประการมิใช่เข้าสอบโดยมิได้ทบทวนความรู้หรือข้อมูลอะไรเลย การสัมภาษณ์เป็นการพูดคุยกัน ไม่ต้องเครียด ต้องแสดงความจริงใจ อย่าเสแสร้ง กรรมการจะดูกริยา ลักษณะการพูดจาเป็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง เนียมไม่เนียม สำคัญจุดแรกที่กรรมการจะพิจารณาคือการแต่งกายของผู้เข้าสัมภาษณ์ ดูดี สะอาด ผมรัดผูกให้สวยงาม แต่งหน้าแต่พองาม พูดให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าพาใครไปเป็นเพื่อน
ในการสัมภาษณ์ควรทำใจให้สบาย ตอบคำถามแบบธรรมขาติ เป็นตัวของตัวเอง โดยส่วนใหญ่กรรมการจะถามคำถามต่อไปนี้ คือ 1. ให้แนะนำตัวเอง 2.เหตุผลในการตัดสินใจเข้ารับราชการ 3. เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงาน
หลักสูตรที่ใช้ในการสอบเป็นพนักงานราชการ/ลูกจ้าง ศาลรัฐธรรมนูญ มีดังนี้คือ
การประเมินครั้งที่ 1 โดยวิธีสอบข้อเขียน (100 คะแนน)
- ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (50 คะแนน)
- ความรู้ความสามารถเกี่ยวกับลักษณะงานที่ปฏิบัติ (50 คะแนน)
การประเมินครั้งที่ 2 โดยการสอบสัมภาษณ์ (100 คะแนน)
พิจารณาจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางาน ประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง การมีมนุษย์สัมพันธ์ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ท่วงที วาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติ
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
หลักสูตรที่ใช้ในการสอบเป็นพนักงานราชการ/ลูกจ้าง ศาลฎีกา มีดังนี้คือ
1. ภาคคาวมรู้ความสามารถทั่วไป (50 คะแนน)
- ทดสอบความรู้ความสามารถโดยการสอบข้อเขียน (ความรู้เกี่ยวกับพรบ.ระเบียบราชการบริหารศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526 )
2. ภาคความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง (50 คะแนน)
3. ภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง (ภาค ค ) 100 คะแนน พิจารณาจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางาน ประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง การมีมนุษย์สัมพันธ์ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ท่วงที วาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
วิชาที่ใช้สอบเป็นข้าราชการของศาลยุติธรรม มีดังนี้คือ
1. ความรู้ทั่วไป (ภาค ก ) 200 คะแนน (เฉพาะผู้ที่ไม่ได้สอบผ่านภาค ก ของ ก.พ.)
2. ความรู้เฉพาะตำแหน่ง (ภาค ข ) 200 คะแนน
3. ความเหมาะสมกับตำแหน่ง การสอบสัมภาษณ์ ( 100 คะแนน ) เป็นการทดสอบเพื่อวัดความเหมาะสมกับตําแหน่งที่จะบรรจุและแต่งตั้งโดยวิธีการสัมภาษณ์หรือวิธีอื่นเพื่อประเมินความเหมาะสมกับตําแหน่งจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางานประสบการณ์ ท่วงทีวาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติการปรับตัวเข้ากับผู้ร่วมงาน สังคมและสิ่งแวดล้อม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ปฏิภาณไหวพริบ บุคลิกภาพและพฤติกรรมของผู้สอบแข่งขันเพื่อให้ได้บุคคลที่มีคุณธรรม จริยธรรม ความรู้ความสามารถ ทักษะ สมรรถนะ และอื่นๆ ที่จําเป็นสําหรับตําแหน่ง
รายละเอียดวิชาที่สอบ
ช่างภาพ ศาลรัฐธรรมนูญ
1 ความรู้เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ
2 แนวข้อสอบความรู้ความสามารถทั่วไป
3 แนวข้อสอบความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน การเมือง เศรษฐกิจและสังคม
4 การถ่ายภาพ การถ่ายวีดีทัศน์ เครื่องมือ อุปกรณ์สมัยใหม่
5 การผลิตสื่อวีดิทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์
6 ความรู้เกี่ยวกับหลักการถ่ายภาพ
7 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์
8 ความหมายและความสำคัญของสื่อสิ่งพิมพ์
9 แนวข้อสอบความเข้าใจในการถ่ายภาพเบื้องต้น
10 การเตรียมตัวสอบภาค ค. และสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานศาลรัฐธรรมนูญ
ตำแหน่งที่สอบ ศาลรัฐธรรมนูญ
ช่างภาพ
ธุรการ
นักจัดการงานทั่วไป
นักทรัพยากรบุคคล
นักวิเคราะห์นโยบายและแผน
นิติกร
รายละเอียดวิชาที่สอบ ศาลฎีกา
1 นโยบายประธานศาลฎีกาและแผนยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม
2 แนวข้อสอบพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2543
3 แนวข้อสอบพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 และแก้ไขเพิ่มเติม
4 แนวข้อสอบความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน การเมือง เศรษฐกิจและสังคม
5 ภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมาย
6 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
7 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
8 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
9 ความรู้เรื่องการวินิจฉัยข้อกฎหมาย
10 ประมวลกฎหมายอาญา
11 แนวข้อสอบลักษณะสำคัญของกฎหมายเบื้องต้น
ตำแหน่งที่สอบ
นิติกร ศาลฎีกา
ในการสอบเข้ากรม ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ การสอบบรรจุเข้ารับราชการผู้เข้าสอบจะต้องเป็นผู้สอบผ่านการวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก.) ของสำนักงาน ก.พ. ก่อน แต่ถ้าสอบเป็นลูกจ้าง/พนักงานราชการ ไม่ต้องใช้ใบสอบผ่านภาค ก ของ ก.พ. การสอบเข้าศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ จะมีการประเมินสมรรถนะอยู่ 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 โดยการสอบข้อเขียน ครั้งที่ 2 โดยการสัมภาษณ์ และจะต้องผ่านการประเมินสมรรถนะครั้งที่ 1 โดยวิธีการสอบข้อเขียนก่อนและเมื่อผ่านการประเมินสรรถนะครั้งที่ 1 แล้ว จึงจะมีสิทธิ์เข้ารับการประเมินสมรรถนะครั้งที่ 2 โดยวิธีสอบสัมภาษณ์ ทั้งนี้จะต้องได้คะแนนสอบข้อเขียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
การเตรียมตัวสอบ
ในส่วนการสอบวิชาเฉพาะตำแหน่ง ควรอ่านให้มากๆ ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาตำแหน่งให้ดี ข้อสอบจะเป็นระเบียบข้อกฏหมาย วิชากฎหมายก็อ่านฉบับเต็ม ท่องให้ได้ทุกมาตราอย่าไปอ่านเเต่ช้อย มันไม่ตรงนัก ฝึกลองวิเคราะห์ข้อสอบ หาปากกาเน้นข้อความมาขีดเพื่อจำง่าย แล้วสรุป หรือท่องให้ได้ ฝึกทำข้อสอบเก่า โดยเฉพาะในเรื่องที่เป็นจุดบกพร่องของเราทำซ้ำๆจนเข้าใจ
ควรอ่านเนื้อหาที่จะออกสอบในประกาศ และดูเวลาว่าเหลือเวลากี่วันที่จะต้องสอบ และนำเนื้อหาการสอบมาทำความเข้าใจว่าแต่ละเรื่องเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ค้นหาเนื้อหาแต่ละเนื้อหารวบรวมทุกสิ่งอย่างที่คิดว่าเกี่ยวข้องและจำเป็น แล้วแยกใส่ในแฟ้มงานเป็นหมวดๆ เมื่อได้เนื้อหาครบหมดแล้ววิเคราะห์ว่าแต่ละเนื้อหาใช้เวลาในการอ่านเท่าไหร่ แล้วนำผลรวมออกมาเทียบกับเวลาที่เรามีในการเตรียมตัวสอบ จากนั้นนำเวลามาถัวเฉลี่ย ให้ความหนักเบากับวิชาที่จะสอบ ว่าวิชาไหนเรื่องไหนใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วจัดทำตารางการอ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาอาจจะแบ่งเป็นต่อสัปดาห์ หรือ 2 สัปดาห์ แล้วนำมาแปะไว้ที่ไหนก็ได้ที่เราสังเกตเห็นได้ชัด ในการอ่านแต่ละวิชาควรอ่านอย่างน้อย 2 รอบ รอบแรกเป็นการอ่านรวมๆ เพื่อหาว่าจุดไหนสำคัญบ้างให้นำปากกาเน้นคำ Mark ไว้ รอบที่สอง จดบันทึกสิ่งที่เรา Mark ไว้ สรุปเป็นภาษาของเราเองเพื่อเอาไว้อ่านก่อนสอบ 1 วัน และก่อนนอนนั่งสมาธิอย่างน้อย 5 นาที สวดมนต์ด้วยก็ยิ่งดี นอกจากนี้ควรศึกษาเส้นทางการสอบ ห้องสอบให้ดี พอถึงสนามสอบให้ตรวจดูห้องสอบหรือนั่งหน้าห้องสอบรอเลยก็ได้ เพื่อป้องกันความกังวลใจ หรือเรื่องรบกวนใจ เมื่อใกล้จะสอบควรงดการพูดจาเรื่อยเปื่อย คุยสนุกเรื่องอื่น กับเพื่อนที่ร่วมสอบ หรือใครก็ตามอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันสมองไปจำอย่างอื่น ให้คิดแต่เรื่องสอบอย่างเดียว
นอกจากนี้ควรหาความรู้เกี่ยวกับหน่วยงานด้วย เช่น ประวัติ วิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยม ผู้บริหาร หน้าที่ความรับผิดชอบ โดยการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
นอกจากวิชาการที่ต้องใช้ตามวุฒิที่จะรับแล้ว ยังต้องทำการบ้านด้วยว่าหน่วยงานนั้นมีการแบ่งองค์กรยังไง ผู้บริหารเป็นใครในแต่ละระดับ แต่ละส่วนขององค์กรทำงานอะไร มีหน้าที่อะไร ตำแหน่งที่เราจะบรรจุมีหน้าที่อะไร ไปที่หน่วยงานนั้น ถ้ามีห้องสมุดหรือเอกสารเผยแพร่ควรไปอ่านให้หมด ปัจจุบันมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหรือตำแหน่งที่จะทำหรือไม่ อย่างไร
ส่วนในการสอบสัมภาษณ์เป็นการสอบด้วยการสนทนาหรือพูดคุยกัน ดังนั้นผู้เข้าสอบควรจะทบทวนเตรียมความรู้หรือข้อมูลในส่วนที่เป็นวิชาการหรือเนื้อหาต่าง ๆ ที่ได้เตรียมไว้แล้วในการเตรียมตัวเข้าสอบข้อเขียน ซึ่งอาจจะใช้เวลาครั้งละ 10 – 30 นาที แล้วแต่กรณี หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การเตรียมตัวเข้ารับการสอบสัมภาษณ์จำเป็นต้องทบทวนความรู้ และข้อมูลบางประการมิใช่เข้าสอบโดยมิได้ทบทวนความรู้หรือข้อมูลอะไรเลย การสัมภาษณ์เป็นการพูดคุยกัน ไม่ต้องเครียด ต้องแสดงความจริงใจ อย่าเสแสร้ง กรรมการจะดูกริยา ลักษณะการพูดจาเป็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง เนียมไม่เนียม สำคัญจุดแรกที่กรรมการจะพิจารณาคือการแต่งกายของผู้เข้าสัมภาษณ์ ดูดี สะอาด ผมรัดผูกให้สวยงาม แต่งหน้าแต่พองาม พูดให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าพาใครไปเป็นเพื่อน
ในการสัมภาษณ์ควรทำใจให้สบาย ตอบคำถามแบบธรรมขาติ เป็นตัวของตัวเอง โดยส่วนใหญ่กรรมการจะถามคำถามต่อไปนี้ คือ 1. ให้แนะนำตัวเอง 2.เหตุผลในการตัดสินใจเข้ารับราชการ 3. เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงาน
หลักสูตรที่ใช้ในการสอบเป็นพนักงานราชการ/ลูกจ้าง ศาลรัฐธรรมนูญ มีดังนี้คือ
การประเมินครั้งที่ 1 โดยวิธีสอบข้อเขียน (100 คะแนน)
- ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (50 คะแนน)
- ความรู้ความสามารถเกี่ยวกับลักษณะงานที่ปฏิบัติ (50 คะแนน)
การประเมินครั้งที่ 2 โดยการสอบสัมภาษณ์ (100 คะแนน)
พิจารณาจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางาน ประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง การมีมนุษย์สัมพันธ์ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ท่วงที วาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติ
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
หลักสูตรที่ใช้ในการสอบเป็นพนักงานราชการ/ลูกจ้าง ศาลฎีกา มีดังนี้คือ
1. ภาคคาวมรู้ความสามารถทั่วไป (50 คะแนน)
- ทดสอบความรู้ความสามารถโดยการสอบข้อเขียน (ความรู้เกี่ยวกับพรบ.ระเบียบราชการบริหารศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526 )
2. ภาคความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง (50 คะแนน)
3. ภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง (ภาค ค ) 100 คะแนน พิจารณาจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางาน ประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง การมีมนุษย์สัมพันธ์ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ท่วงที วาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
วิชาที่ใช้สอบเป็นข้าราชการของศาลยุติธรรม มีดังนี้คือ
1. ความรู้ทั่วไป (ภาค ก ) 200 คะแนน (เฉพาะผู้ที่ไม่ได้สอบผ่านภาค ก ของ ก.พ.)
2. ความรู้เฉพาะตำแหน่ง (ภาค ข ) 200 คะแนน
3. ความเหมาะสมกับตำแหน่ง การสอบสัมภาษณ์ ( 100 คะแนน ) เป็นการทดสอบเพื่อวัดความเหมาะสมกับตําแหน่งที่จะบรรจุและแต่งตั้งโดยวิธีการสัมภาษณ์หรือวิธีอื่นเพื่อประเมินความเหมาะสมกับตําแหน่งจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางานประสบการณ์ ท่วงทีวาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติการปรับตัวเข้ากับผู้ร่วมงาน สังคมและสิ่งแวดล้อม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ปฏิภาณไหวพริบ บุคลิกภาพและพฤติกรรมของผู้สอบแข่งขันเพื่อให้ได้บุคคลที่มีคุณธรรม จริยธรรม ความรู้ความสามารถ ทักษะ สมรรถนะ และอื่นๆ ที่จําเป็นสําหรับตําแหน่ง
รายละเอียดวิชาที่สอบ
ช่างภาพ ศาลรัฐธรรมนูญ
1 ความรู้เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ
2 แนวข้อสอบความรู้ความสามารถทั่วไป
3 แนวข้อสอบความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน การเมือง เศรษฐกิจและสังคม
4 การถ่ายภาพ การถ่ายวีดีทัศน์ เครื่องมือ อุปกรณ์สมัยใหม่
5 การผลิตสื่อวีดิทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์
6 ความรู้เกี่ยวกับหลักการถ่ายภาพ
7 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์
8 ความหมายและความสำคัญของสื่อสิ่งพิมพ์
9 แนวข้อสอบความเข้าใจในการถ่ายภาพเบื้องต้น
10 การเตรียมตัวสอบภาค ค. และสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานศาลรัฐธรรมนูญ
ตำแหน่งที่สอบ ศาลรัฐธรรมนูญ
ช่างภาพ
ธุรการ
นักจัดการงานทั่วไป
นักทรัพยากรบุคคล
นักวิเคราะห์นโยบายและแผน
นิติกร
รายละเอียดวิชาที่สอบ ศาลฎีกา
1 นโยบายประธานศาลฎีกาและแผนยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม
2 แนวข้อสอบพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2543
3 แนวข้อสอบพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 และแก้ไขเพิ่มเติม
4 แนวข้อสอบความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน การเมือง เศรษฐกิจและสังคม
5 ภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมาย
6 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
7 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
8 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
9 ความรู้เรื่องการวินิจฉัยข้อกฎหมาย
10 ประมวลกฎหมายอาญา
11 แนวข้อสอบลักษณะสำคัญของกฎหมายเบื้องต้น
ตำแหน่งที่สอบ
นิติกร ศาลฎีกา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)